PRP หรือการบำรุงผมเกล็ดเลือดเข้มข้นของตัวเอง สามารถช่วยกระตุ้นให้เซลล์รากผมที่หยุดทำงานไปแล้ว กลับมาทำงานและงอกผมขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง พร้อมทั้งบำรุงเซลล์รากผมให้กลับมาแข็งแรง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาผมร่วงผมบางได้ในระยะยาว ทำให้ผมกลับมาดูหนามากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยโปรแกรม Unique Hair PRP ของเราจะสกัด Growth Factor จากพลาสมาของคนไข้ผ่านกรรมวิธีที่มีความทันสมัย ก่อนที่จะนำกลับมาฉีดลงบนหนังศีรษะ เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมให้กลับมาเติบโตแข็งแรง ดก หนา และสมบูรณ์อีกครั้ง

ข้อบ่งชี้สำหรับการรักษาผมด้วย PRP

  • การเจาะเลือดของผู้รับการรักษา
  • จากนั้นจะใช้เครื่องเหวี่ยงสารเพื่อปั่นเลือดให้แยกชั้น และสกัดชั้นเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) ออกมา
  • หลังจากนั้นจะทำการฉีด PRP กลับเข้าผิวหนังศีรษะของผู้รับการรักษา

ขั้นตอนการทำ PRP มีดังนี้:

  1. การปรึกษาและการประเมิน:
           เพื่อปรึกษาและประเมินสภาพหนังศีรษะและปัญหาผมร่วงของคุณ แพทย์จะตรวจสอบสุขภาพทั่วไปและแนวโน้มการเจริญเติบโตของเส้นผมของคุณ เพื่อดูว่าการรักษาด้วย PRP เหมาะสมกับคุณหรือไม่
  2. การเตรียมตัวก่อนการทำ PRP:
           แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างเลือดจากคุณโดยการเจาะที่แขน เพื่อสกัดพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดสูง (PRP) หลังจากนั้นเลือดจะถูกนำไปปั่นในเครื่องเซนติฟิวจ์ (Centrifuge) เพื่อแยกส่วนที่มีเกล็ดเลือดออกมา
  3. การพักฟื้นหลังการทำ PRP:
           หลังจากการทำ PRP จะไม่มีการพักฟื้นที่ยาวนาน สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ อาจมีการบวมเล็กน้อยหรือแดงที่บริเวณหนังศีรษะ ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงไม่กี่วัน
  4. การพักฟื้นหลังการทำ PRP:
           หลังจากการทำ PRP จะไม่มีการพักฟื้นที่ยาวนาน สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือแดงที่บริเวณหนังศีรษะ ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงไม่กี่วัน
  5. ผลลัพธ์และการติดตามผล:
           หลังจากการรักษาด้วย PRP คุณอาจเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 2-3 เดือน โดยผมที่ร่วงจะเริ่มกลับมาและหนาขึ้น ควรทำการรักษาเป็นระยะ ๆ โดยการฉีด PRP ทุกๆ 4-6 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน PRP เป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่เจ็บปวดมาก แต่ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การทำ PRP เหมาะกับใคร ?

  • ผมบางทั่วศีรษะ
  • ผมร่วง ขาดง่าย
  • กระหม่อมศีรษะบาง เห็นหนังศีรษะ
  • ผมเส้นเล็ก ผมลีบ
  • ไม่ประสงค์ หรือไม่สามารถทําการปลูกผมย้ายเซลล์รากผม

ข้อจํากัดไม่สามารถทํา PRP ได้

  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาต้านเกล็ดเลือดหรือละลายลิ่มเลือด
  • เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับโรคเลือด เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ํา
  • ผู้ป่วยกําลังมีภาวะโรคติดเชื้อในกระแสเลือด
  • โรคผิวหนังที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อบริเวณศีรษะ เช่น เป็นเชื้อรา
  • เคยมีประวัติมีผื่น หรือมีอาการแพ้ หลังฉีด PRP

PRP Hair Treatment มีประโยชน์หลังจากการปลูกผมหรือไม่

     PRP Hair Treatment มักจะได้รับการแนะนำให้ทำควบคู่หลังจากการปลูกผม เพราะสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการฟื้นตัวและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมที่ถูกปลูกใหม่ รวมทั้งช่วยในการงอกใหม่ของเส้นผม โดยแพทย์อาจแนะนำให้ทำ PRP Hair Treatment ก่อนปลูกผมประมาณ 1 เดือนสำหรับผู้ที่มีผมอ่อนแอ หลังจากนั้นควรทำการรักษาต่อเนื่อง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 เดือน โดยแต่ละครั้งห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ถึง 1 ปี (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)

     ข้อควรรู้ ผลลัพธ์ของ PRP Hair Treatment เป็นสิ่งชั่วคราว คุณต้องมีการบำรุงรักษาเป็นประจำ 1-2 ครั้งต่อปี การรักษานี้โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยและสามารถทำได้ตลอดชีวิต แม้ว่าการรักษาด้วย PRP สำหรับการรักษาผมร่วงจะได้รับการพิจารณาว่าได้ผลค่อนข้างดี แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับการปลูกผมด้วยการผ่าตัดได้

การเตรียมตัวก่อนทํา

  • พยายามดื่มน้ํา ให้เพียงพอ
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนทํา
  • งดรับประทานยา NSAIDs เช่น ibuprofen voltaren arcoxia celebrex หรือ nurofen เพราะอาจรบกวน กระบวนการอักเสบได้
  • งดรับการฉีดยา Steroids 1 เดือนก่อนทํา
  • เจาะเลือดหลังจากรับประทานอาหารประมาณ 2 – 3 ชม.

การปฏิบัติตัวหลังทํา PRP

  • หลังทํา PRP ประมาณ 24 ชม. ห้ามสระผม ห้ามให้ผมโดนน้ําและออกกําลังกาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์และเจลจัดแต่ง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ หลังทํา PRP ประมาณ 48 ชม.
  • 2-3 วัน ห้ามรับประทานยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟ่น
  • หลังทํา PRP ช่วงแรก แนะนําให้หลีกเลี่ยงการเกาหรือขยี้รุนแรง เพราะอาจจะทําให้เกิดการติดเชื้อได้
  • ควรใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนต่อผิวหนัง
  • หลังทํา PRP ผมอาจจะเกิดอาการบวมหลังทําคุณสามารถใช้การประคบเย็น